Yield คืออะไร? ในแง่การลงทุน
เตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน

ในการลงทุน Yield หรือ อัตราผลตอบแทน เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินมูลค่าของสินทรัพย์และคาดการณ์รายได้ที่ได้รับเมื่อเทียบกับต้นทุนที่จ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรืออุตสาหกรรมการผลิต การเข้าใจแนวคิดของ Yield จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ความคุ้มค่าได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
Yield คืออะไร?

Yield อ่านว่า ยิลด์ หนึ่งในศัพท์อสังหาฯ หรือหมายถึง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่แสดงถึงสัดส่วนของรายได้หรือกำไรที่นักลงทุนได้รับเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ใช้ในการลงทุนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยทั่วไป Yield มักถูกแสดงในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนจากสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ในเชิงการเงินและการลงทุน Yield เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ในการประเมินมูลค่าการลงทุนและความคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรืออุตสาหกรรมการผลิต Yield สามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ใดให้ผลตอบแทนสูงและคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับได้
ตัวอย่างของ Yield ที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่:
- Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล) ใช้ในตลาดหุ้นเพื่อวัดสัดส่วนของเงินปันผลที่ได้รับเมื่อเทียบกับราคาหุ้น
- Bond Yield (อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร) ใช้วัดผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองพันธบัตรในช่วงเวลาหนึ่ง
- Rental Yield (อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่า) ใช้ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อคำนวณผลตอบแทนที่ได้รับจากการปล่อยเช่าทรัพย์สิน
- Production Yield (อัตราผลตอบแทนจากการผลิต) ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต
เนื่องจาก Yield เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ การเข้าใจ วิธีคิด Yield อย่างถูกต้องจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ และลดความเสี่ยงจากการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ที่สะท้อนถึงผลกำไรหรือขาดทุนของสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถแสดงในรูปของเปอร์เซ็นต์เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นได้อย่างง่ายดาย การเข้าใจ %Yield คืออะไร เป็นสิ่งสำคัญเพราะช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนจึงต้องเรียนรู้ วิธีคิด Yield อย่างถูกต้องเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
ประเภทของ Yield ในแง่การลงทุน

1. Yield ในอสังหาริมทรัพย์ (Rental Yield)
อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูงในการลงทุน และ Rental Yield เป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
- Gross Rental Yield = อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าขั้นต้น โดยไม่หักค่าใช้จ่าย
- Net Rental Yield = อัตราผลตอบแทนที่คำนวณหลังจากหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าส่วนกลาง หรือภาษีทรัพย์สิน
- Cash on Cash Rental Yield = อัตราผลตอบแทนที่คำนวณจากเงินสดที่ลงทุนไปจริงในปีนั้น
ตัวอย่าง: หากคุณซื้อคอนโดราคา 3,000,000 บาท และปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 บาท คิดเป็นค่าเช่ารายปี 180,000 บาท
- Gross Rental Yield = (180,000 ÷ 3,000,000) × 100 = 6% ต่อปี
- หากมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางและภาษีรวม 30,000 บาท ต่อปี
- Net Rental Yield = (180,000 – 30,000) ÷ 3,000,000 × 100 = 5% ต่อปี
2. Yield จากหุ้นและพันธบัตร
สำหรับตลาดทุน Yield คืออะไร หุ้น หมายถึง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) หรือดอกเบี้ยที่ได้รับจากพันธบัตร (Bond Yield) ซึ่งคำนวณจากเงินปันผลหรือดอกเบี้ยที่ได้รับ หารด้วยราคาหลักทรัพย์
ตัวอย่าง: หากหุ้น ABC ให้ปันผล 5 บาทต่อหุ้น และราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาท
- Dividend Yield = (5 ÷ 100) × 100 = 5% ต่อปี
3. Yield ในอุตสาหกรรมและการผลิต
ในอุตสาหกรรมการผลิต Yield ในการผลิต คืออะไร หมายถึงอัตราการแปลงวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ
- Yield การผลิต = (ผลผลิตจริง ÷ ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้) × 100
- Yield Loss คือ การสูญเสียผลผลิตในกระบวนการผลิตที่อาจเกิดจากของเสียหรือข้อผิดพลาดในการผลิต
ตัวอย่าง: หากใช้วัตถุดิบ 1,000 กิโลกรัม และได้ผลผลิตสำเร็จรูป 900 กิโลกรัม
- Yield การผลิต = (900 ÷ 1,000) × 100 = 90%
- Yield Loss = 100% – 90% = 10%
วิธีคำนวณ Yield พร้อมสูตรและตัวอย่าง

การคำนวณ Yield ต้องทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประเภทของผลตอบแทนที่เราต้องการวัด โดยสูตรคำนวณจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ตัวอย่างเช่น:
Rental Yield (อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์)
สูตร: (ค่าเช่ารายปี ÷ ราคาทรัพย์สิน) × 100
ตัวอย่าง: นักลงทุนซื้อคอนโดในราคา 3,000,000 บาท และปล่อยเช่าในราคา 15,000 บาทต่อเดือน
ค่าเช่ารายปีคือ (15,000 × 12) = 180,000 บาท
การคำนวณ: (180,000 ÷ 3,000,000) × 100 = 6% ต่อปี
Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล)
สูตร: (เงินปันผลต่อหุ้น ÷ ราคาหุ้น) × 100
ตัวอย่าง: บริษัท ABC จ่ายเงินปันผล 5 บาทต่อหุ้น
และราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท
การคำนวณ: (5 ÷ 100) × 100 = 5% ต่อปี
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Yield และแนวโน้มในอนาคต
Yield ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดเฉพาะทาง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนเงินทุนและอัตราผลตอบแทน หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมก็เพิ่มขึ้น ทำให้ Yield จากสินทรัพย์บางประเภทลดลง ตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนมักจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า เช่น อสังหาริมทรัพย์และหุ้น
ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อเงินเฟ้อสูง นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นเพื่อรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินทุน อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้น ส่งผลให้ Yield ในบางภาคส่วน เช่น อสังหาริมทรัพย์และการผลิตลดลง ในขณะเดียวกัน ทำเลที่ตั้ง ก็มีผลต่อ Rental Yield โดยพื้นที่ที่มีความต้องการเช่าสูงมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
แนวโน้มของ Yield ในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงตามการพัฒนาเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ามีแนวโน้มเติบโตในเมืองใหญ่ ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและพลังงานหมุนเวียนอาจให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากขึ้น นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนYield ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดเฉพาะทาง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนเงินทุนและอัตราผลตอบแทน หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมก็เพิ่มขึ้น ทำให้ Yield จากสินทรัพย์บางประเภทลดลง ตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนมักจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่า เช่น อสังหาริมทรัพย์และหุ้น
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Yield และผลกระทบต่อการลงทุน

1.1 อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อ Yield โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนเงินกู้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุน หากดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนอาจได้รับ Yield ที่ต่ำลงเช่นกัน แต่สินทรัพย์บางประเภท เช่น หุ้นเติบโต (Growth Stocks) อาจได้รับประโยชน์เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานลดลง
1.2 ทำเลที่ตั้งและภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ สำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ทำเลที่ตั้ง มีผลโดยตรงต่อ Rental Yield ทำเลในเมืองใหญ่ หรือพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต มักให้ Yield สูง เนื่องจากความต้องการเช่าสูง ในทางกลับกัน หากทำเลไม่มีปัจจัยสนับสนุน เช่น ระบบขนส่งมวลชน หรือแหล่งงาน อาจทำให้ Yield ต่ำและมีอัตราว่างสูงขึ้น
1.3 อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) เงินเฟ้อส่งผลต่อ Yield โดยตรง เพราะเมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ผู้ถือสินทรัพย์ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อรักษามูลค่าการลงทุน อัตราเงินเฟ้อที่สูงอาจทำให้พันธบัตรที่มีผลตอบแทนคงที่ (Fixed Income Yield) มีค่าลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำลง
1.4 นโยบายภาครัฐและกฎระเบียบด้านภาษี นโยบายด้านภาษี เช่น การลดภาษีเงินปันผล หรือการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ สามารถกระตุ้นให้ Yield สูงขึ้น ในขณะที่การเก็บภาษีเพิ่ม เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาจส่งผลให้ต้นทุนของนักลงทุนเพิ่มขึ้นและ Yield ลดลง
1.5 ภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หรือปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน อาจทำให้ Yield ของสินทรัพย์ผันผวน นักลงทุนจึงต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เพื่อบริหารความเสี่ยงและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ
- อัตราดอกเบี้ย: มีผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน
- ทำเลที่ตั้ง: สำหรับอสังหาริมทรัพย์ ทำเลที่ดีช่วยเพิ่มค่าเช่าและ Yield
- สภาพคล่อง: สินทรัพย์ที่ขายต่อได้ง่ายมักมี Yield ที่น่าสนใจ
2. แนวโน้มของ Yield ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงที่ควรจับตามอง

2.1 ตลาดอสังหาริมทรัพย์และแนวโน้มของ Rental Yield
- การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น เทรนด์ Work From Home และ Digital Nomad ทำให้ตลาดเช่าเปลี่ยนไป โดยเมืองรองหรือพื้นที่นอกศูนย์กลางอาจมี Rental Yield เพิ่มขึ้น
- นักลงทุนหันไปหาทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ หรืออสังหาริมทรัพย์ให้เช่าระยะยาว
2.2 ทิศทางของ Dividend Yield และ Bond Yield ในตลาดทุน
- หุ้นที่มี Dividend Yield สูง มักเป็นที่ต้องการมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เนื่องจากนักลงทุนต้องการกระแสเงินสดที่มั่นคง
- อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก เช่น FED (Federal Reserve) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลต่อ Bond Yield หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น พันธบัตรใหม่ที่ออกจะให้ Yield สูงขึ้น ในขณะที่พันธบัตรเก่าอาจสูญเสียมูลค่า
2.3 เทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการผลิต
- อุตสาหกรรมการผลิตกำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Automation เพื่อเพิ่ม Production Yield และลด Yield Loss
- บริษัทที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมใหม่ ๆ จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการผลิตได้มากขึ้นในระยะยาว
2.4 การลงทุนที่ยั่งยืน (ESG) และผลกระทบต่อ Yield
- นักลงทุนให้ความสนใจกับหุ้นและพันธบัตรที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, and Governance)
- การลงทุนในโครงการสีเขียว เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาจให้ Yield สูงขึ้นเนื่องจากมีแรงจูงใจด้านภาษีและความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น
- ภาคอสังหาริมทรัพย์: ตลาดเช่าขยายตัวจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
- ตลาดหุ้น: บริษัทที่เติบโตดีมักให้ Dividend Yield ที่น่าสนใจ
- ภาคการผลิต: เทคโนโลยีช่วยลด Yield Loss และเพิ่มผลตอบแทน
บทความใหม่ล่าสุด