เงินดาวน์ คืออะไร? ทำไมสำคัญมากสำหรับคนอยากมีบ้าน รถ หรือคอนโด
เตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “เงินดาวน์” กันมาบ้าง โดยเฉพาะตอนที่คิดจะซื้อบ้าน คอนโด หรือรถสักคัน มันคือเงินก้อนแรกที่เราต้องจ่ายก่อนจะได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าสูงพวกนี้ แต่ทำไมต้องจ่าย? และจ่ายเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม? วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันแบบละเอียด
เงินดาวน์ คืออะไร?

เงินดาวน์ (ภาษาอังกฤษคือ Down Payment) ก็เหมือนเงินมัดจำที่เราต้องจ่ายเพื่อแสดงความจริงจังในการซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น บ้าน รถ หรือคอนโด โดยปกติจะอยู่ที่ 5-30% ของราคาสินค้า ยิ่งเราจ่ายดาวน์มาก ยอดเงินที่ต้องกู้และผ่อนต่อเดือนก็จะยิ่งน้อยลง ทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงตามไปด้วย เรามักเจอเงินดาวน์ในการซื้อสินทรัพย์ 2 ประเภทหลักๆ คือ อสังหาริมทรัพย์ (บ้าน คอนโด) และยานพาหนะ (รถยนต์ มอเตอร์ไซค์) เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มีมูลค่าสูง ผู้ขายจึงต้องการความมั่นใจว่าผู้ซื้อมีความสามารถในการผ่อนชำระจริง
เงินดาวน์ต้องจ่ายเท่าไหร่ ดูตามประเภทสินทรัพย์
การดาวน์บ้านและคอนโด ถือเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะเป็นเงินก้อนใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดเกณฑ์เงินดาวน์ขั้นต่ำเอาไว้ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและสร้างความมั่นคงให้ระบบสินเชื่อ
สำหรับบ้านหรือคอนโดหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท คุณสามารถกู้ได้เต็มมูลค่า และยังสามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% สำหรับค่าตกแต่งบ้าน นั่นหมายความว่าคุณอาจไม่ต้องวางเงินดาวน์เลยก็ได้ แต่การวางเงินดาวน์สัก 5-10% ก็จะช่วยให้ภาระผ่อนของคุณเบาลง แต่ถ้าเป็นบ้านหรือคอนโดราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ต้องวางดาวน์อย่างน้อย 10% และหากเป็นสัญญาที่ 2 ต้องดาวน์ 10-20% ขึ้นอยู่กับว่าคุณผ่อนบ้านหลังแรกมาแล้วกี่ปี ส่วนสัญญาที่ 3 ขึ้นไปต้องดาวน์ถึง 30% เลยทีเดียว
สำหรับรถยนต์ เกณฑ์การดาวน์จะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละไฟแนนซ์ โดยทั่วไปอยู่ที่ 20-30% ของราคารถ
เงินดาวน์สำคัญอย่างไร ทำไมต้องจ่าย?

เงินดาวน์มีความสำคัญมากกว่าที่หลายคนคิด นอกจากจะเป็นการแสดงความจริงจังในการซื้อแล้ว ยังมีประโยชน์หลายอย่าง:
- เพิ่มโอกาสได้สินเชื่อ เมื่อคุณมีเงินดาวน์พร้อม แสดงว่าคุณมีวินัยทางการเงิน สามารถเก็บเงินก้อนใหญ่ได้ ธนาคารจึงมั่นใจว่าคุณน่าจะมีความสามารถในการผ่อนชำระ โอกาสที่สินเชื่อจะผ่านก็มีมากขึ้น
- ลดภาระการผ่อน ยิ่งดาวน์มาก ยอดเงินที่ต้องกู้ก็ยิ่งน้อย ส่งผลให้ค่างวดต่อเดือนลดลง ทำให้คุณมีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายด้านอื่นๆ มากขึ้น
- ประหยัดดอกเบี้ย เมื่อยอดกู้น้อยลง ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาก็น้อยลงตามไปด้วย
เงินดาวน์ 0% ข้อเสนอที่ต้องพิจารณาให้ดี
คุณเคยเห็นโฆษณา “ดาวน์ 0%” ตามโชว์รูมรถยนต์หรือโครงการบ้านไหม? ข้อเสนอนี้ฟังดูน่าสนใจ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะเมื่อไม่มีเงินดาวน์ ยอดกู้ก็จะสูงขึ้น ส่งผลให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายตลอดสัญญาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บางครั้งอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 2-3% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยอดผ่อนต่อเดือนก็จะสูงขึ้น เพราะต้องแบกรับภาระหนี้ที่มากกว่า ยิ่งถ้าระยะเวลาผ่อนเท่าเดิม ยอดผ่อนก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก และที่สำคัญมักมีค่าธรรมเนียมแฝงที่แพงกว่าปกติ ทั้งค่าจัดไฟแนนซ์ ค่าประกัน หรือค่าดำเนินการต่างๆ
หากคุณยังมีเงินดาวน์ไม่พอ ลองมองหาโครงการที่เปิดให้ผ่อนดาวน์เป็นงวดๆ โดยเฉพาะโครงการบ้านหรือคอนโดที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง มักมีตัวเลือกนี้ให้ เช่น ถ้าต้องดาวน์ 300,000 บาท อาจแบ่งจ่ายเป็น 10 งวด งวดละ 30,000 บาท ทำให้เราจัดการเงินได้ง่ายขึ้น อีกทางเลือกคือการวางแผนออมเงินล่วงหน้า โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ถ้าอยากได้บ้านราคา 2 ล้านบาท ต้องดาวน์ 20% หรือ 400,000 บาท ถ้าต้องการซื้อภายใน 2 ปี ก็ต้องเก็บเดือนละ 16,700 บาท การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เราวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
Pre-approve และการขอคืนเงินดาวน์
เรื่องนี้หลายคนกังวล แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเงินดาวน์ฟรี เพราะตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หากคุณกู้ไม่ผ่าน สามารถขอคืนเงินดาวน์ได้ แต่ต้องมีหลักฐานการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารมาแสดง ทางที่ดีควรทำ Pre-approve กับธนาคารก่อนวางเงินดาวน์ เพื่อให้รู้วงเงินที่เราสามารถกู้ได้ และอ่านสัญญาให้ละเอียดเรื่องเงื่อนไขการคืนเงินดาวน์ บางโครงการอาจหักค่าดำเนินการบางส่วน เช่น 10-20% ของเงินดาวน์
ในการทำ Pre-approve คุณต้องเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น:
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
- Statement บัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
- เอกสารแสดงภาระหนี้ปัจจุบัน (ถ้ามี)
- บัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน
- หนังสือรับรองการทำงาน
เงินดาวน์บ้านมือสอง จ่ายอย่างไรให้คุ้มค่า

การซื้อบ้านมือสองมีข้อดีคือราคาถูกกว่าบ้านใหม่ 20-30% แต่เรื่องเงินดาวน์อาจยุ่งยากกว่า เพราะธนาคารมักขอดาวน์สูงขึ้น เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงมากกว่า โดยทั่วไปต้องดาวน์ 20-30% ของราคาบ้าน นอกจากนี้ ต้องระวังเรื่องภาระจำนองเก่า ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าบ้านปลอดภาระก่อนวางเงินดาวน์ และควรประเมินค่าซ่อมแซมที่อาจเกิดขึ้นด้วย
ดอกเบี้ยกับการตัดสินใจดาวน์
อัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจดาวน์ ยิ่งดอกเบี้ยสูง ยิ่งควรดาวน์มาก เพราะจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว ตัวอย่างเช่น:
บ้านราคา 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย 6% ต่อปี
- ดาวน์ 10% (3 แสนบาท) = จ่ายดอกเบี้ย 30 ปี ประมาณ 3.2 ล้านบาท
- ดาวน์ 20% (6 แสนบาท) = จ่ายดอกเบี้ย 30 ปี ประมาณ 2.8 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ 4 แสนบาท
บทความใหม่ล่าสุด