เปิดมุมมองโครงการ ‘บ้านเพื่อคนไทย’ ล้านหลังเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทย
เตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน

ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยในประเทศไทยถือเป็นปัญหาสำคัญที่มีมาอย่างยาวนาน แม้ว่าภาครัฐจะพยายามดำเนินนโยบายเพื่อช่วยให้ประชาชนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น แต่ในปัจจุบัน ความผันผวนทางเศรษฐกิจและสังคมกลับทำให้โอกาสในการมีบ้านของคนไทยยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ล้านหลัง ที่รัฐบาลเสนอในครั้งนี้ จึงเป็นที่จับตามองในแง่ของโอกาสและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ความเป็นมาบ้านเพื่อคนไทย

ประเทศไทยได้พยายามแก้ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยมานานกว่า 50 ปี การจัดตั้งการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในปี พ.ศ. 2516 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับโครงสร้างพื้นฐาน โดย ณ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การเคหะฯ สามารถจัดสร้างบ้านได้รวมทั้งสิ้น 752,169 หน่วย โครงการที่เป็นที่รู้จัก เช่น “บ้านเอื้ออาทร” ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในอดีต และแม้จะมีนโยบาย “บ้านล้านหลัง” มาก่อน แต่ผลกระทบและความสำเร็จยังคงถูกตั้งคำถามในแง่ของความยั่งยืนและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยผ่านโครงการ “บ้านมั่นคง” ที่ได้พัฒนามากกว่า 100,000 หน่วยทั่วประเทศ รวมถึงธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่มีบทบาทในการสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยในราคาที่คนรายได้น้อยสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และสถานการณ์โควิด-19
โครงการ ‘บ้านเพื่อคนไทย’ ล้านหลัง

1. ความเหมาะสมของทำเลที่ตั้ง หนึ่งในความท้าทายสำคัญของโครงการนี้คือการเลือกใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หรือหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ แม้ว่าที่ดินเหล่านี้จะมีศักยภาพในแง่ของพื้นที่ แต่ในความเป็นจริง บางทำเลอาจไม่เหมาะสมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น การเดินทาง การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ และบริการพื้นฐานอื่นๆ การพัฒนาโครงการในพื้นที่ที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน อาจทำให้โครงการนี้ขาดความดึงดูดและไม่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างที่คาดหวัง
2. สิทธิในที่ดินและกรรมสิทธิ์ โครงการที่ใช้ที่ดินของรัฐส่วนใหญ่เป็นสิทธิในการเช่า ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ได้ ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อจะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินอย่างแท้จริง ข้อจำกัดนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ลดทอนความน่าสนใจของโครงการ และอาจทำให้ประชาชนบางส่วนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยในโครงการของภาคเอกชนแทน
3. ผลกระทบต่อภาคเอกชน การพัฒนาโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยโดยรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลางหรือสูงกว่า ซึ่งอาจเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่สมดุล เนื่องจากโครงการของรัฐมีข้อได้เปรียบด้านราคาผ่อนชำระที่ต่ำกว่า
ข้อเสนอเพื่อความสำเร็จของโครงการ
เพื่อให้โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ล้านหลังประสบความสำเร็จและลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ภาครัฐควรพิจารณาดำเนินมาตรการดังนี้:
- สนับสนุนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม
ควรเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองของผู้ซื้อ รวมถึงการกำหนดมาตรการส่งเสริม BOI ให้มีความยั่งยืนและครอบคลุมมากขึ้น - ปรับปรุงทำเลที่ตั้งให้ตอบโจทย์
การพัฒนาทำเลที่ตั้งควรสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และกระจายทำเลให้เหมาะสมเพื่อลดปัญหา Oversupply ในบางพื้นที่ - ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับการประสานงานระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งกระทรวงการคลังในการออกมาตรการภาษี กระทรวงมหาดไทยในการปรับปรุงผังเมือง และหน่วยงานด้านคมนาคมที่ช่วยพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
สรุป: โอกาสในการลดความเหลื่อมล้ำ
หากโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ล้านหลัง สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่อยู่อาศัยและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชน โครงการนี้มีศักยภาพที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงอย่างแท้จริง
บทความใหม่ล่าสุด